ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งใกล้กรุงโตเกียว ผู้คนหลายร้อยคนส่งเสียงเชียร์ โซเฮ คามิยะ หัวหน้าพรรค Sanseito ที่มีแนวคิดชาตินิยมซึ่งกำลังมาแรง โดยขณะที่เขากล่าวแสดงทัศนะต่อต้านชาวต่างชาติอย่างชัดเจน ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นแต่เขาก็ตอบกลับว่า เป็นเรื่องที่คนในประเทศรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา
สำหรับพรรคนี้แม้ยังเป็นพรรคเล็ก แต่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผ่านนโยบาย “ชาวญี่ปุ่นต้องมาก่อน” (Japanese First) ที่เน้นต้านกระแสโลกาภิวัตน์ การเปิดรับชาวต่างชาติ และชูนโยบายอนุรักษ์นิยมต่างๆ แบบสุดขั้ว

นี่ถือเป็นการสะท้อนว่า แนวคิดดังกล่าวกำลังแรงขึ้นมา ท่ามกลางการจับตามองและความกังวลว่า อาจทวีความแรงขึ้นอีก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ยึดมั่นในธรรมเนียมปฏิบัติ และเน้นเรื่องความกลมเกลียว อยู่แล้วเป็นทุนเดิม
นโยบายดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่ชาวญี่ปุ่นเผชิญกับปัญหามากมาย โดยมี เงินเดือนที่ลดลง ราคาข้าวของที่แพงขึ้น เป็นสองปัญหาใหญ่
เรื่องนี้ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น เพราะผู้สมัครชิงหัวหน้าพรรค LDP พรรคแกนนำรัฐบาลทั้ง 5 คน ที่เพิ่งจบลงไป ต่างก็ชูนโยบายใกล้เคียงกัน อย่าง การใช้มาตรการเข้มงวดกับชาวต่างชาติมากขึ้น
หนึ่งในตัวเต็งอย่าง ซานาเอะ ทาคาอิจิ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งร่วมชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ด้วย ที่ทางพรรคได้เลือก และได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ก็เคยวิจารณ์ชาวต่างชาติ หลังได้ข่าวมาว่า ชาวต่างชาติไปทำร้ายกวางที่เมืองนาระ บ้านเกิดของเธอ
แต่ภายหลังก็ต้องออกมาขอโทษ และแก้ตัวว่า เป็นเพียงความกังวลและสะท้อนถึงความโกรธ ต่อชาวต่างชาติบางส่วนที่ทำตัวไม่ดีเท่านั้น
ด้านสื่อญี่ปุ่นจับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยรายงานว่า เมื่อปี 2024 มีชาวต่างชาติ 12,000 คนที่ถูกจับกุมจากการก่ออาชญากรรม ซึ่งถือว่า น้อยมากเมื่อเทียบกับชาวต่างชาติ 2.3 ล้านคนที่อยู่ในประเทศเมื่อปีเดียวกัน และชาวต่างชาติก็คิดเป็นเพียง 3% เท่านั้นของประชากรญี่ปุ่นทั้งประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า อคติต่อชาวต่างชาติ ส่วนหนึ่งมาจากผู้อพยพผ่าน “ระบบการย้ายถิ่นฐานแบบซ่อนเร้น” ของญี่ปุ่น ที่ยอมรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงาน แต่ไม่ได้ให้การสนับสนุนที่เพียงพอ หรือสร้างความเข้าใจให้คนในสังคมยอมรับ ซึ่งอาจตีความได้ว่า ลึกๆ แล้วญี่ปุ่นยังไม่ได้ยอมรับชาวต่างชาติ
นี่ทำให้สถานการณ์ของญี่ปุ่นมีความย้อนแย้งอย่างเพราะในขณะที่กระแสต่อต้านชาวต่างชาติเริ่มรุนแรง จนไปถึงการเมืองระดับบนสุด แต่ประเทศกลับต้องการแรงงานต่างชาติอย่างมาก
ผลการศึกษาของหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ในปี 2022 ระบุว่า ภายในปี 2040 ญี่ปุ่นจะต้องมีแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบัน หรือรวมเป็น 6.7 ล้านคน เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ 1.24% ต่อปี ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ยังต่ำมากและสัดส่วนประชากรสูงอายุที่ยังมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ดังนั้นหากไม่มีแรงงานเหล่านี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ประมง และบริการ อาจจะหยุดชะงักลง นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังต้องการรายได้จากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอีกด้วย
จากทั้งหมดที่กล่าวมา อาจทำให้ชาวต่างชาติลดการเดินทางไปญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อไปทำงานหรือท่องเที่ยว ส่วนผู้ที่ไปแล้วก็อาจต้องทำตัวให้ดี เพราะเป็นการไปในช่วงที่จังหวะเวลาไม่เหมาะสมจากกระแสต่อต้านชาวต่างชาติกำลังเริ่มแรงขึ้นมานั่นเอง / japantoday
