หลัง ChatCPT ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ (Chabot) ของ OpenAI ที่ Microsoft หนุนหลัง แสดงประสิทธิภาพชวนทึ่งและประโยชน์มากมายออกมาให้เห็น วงการ AI ก็ถูกปลุกให้ตื่น

ทั้งด้วยการที่บริษัทกลุ่มยักษ์เทคต่างก็ไม่ยอมน้อยหน้า Microsoft พากันเร่งพัฒนา AI ของตัวเองออกมาบ้าง

และการถูกนำไปใช้อย่างกว้าง จนข้ามไปสู่งานเชิงสร้างสรรค์ อย่าง วาดมังงะ แต่งเพลง-สร้างเสียงร้องเลียนเสียงนักร้องดัง หรือแม้กระทั่งสร้างรูปปั้นแบบศิลปินเอกของโลกที่ล่วงลับไปนานแล้ว
ส่วนในโลกการทำงานก็คึกคักไม่แพ้กัน โดยบางบริษัท AI เริ่มนำมาใช้กับงานด้านข้อมูลและที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำทุกวัน อย่างการตอบคำถาม พิสูจน์อักษร และหาข้อมูล
ขณะเดียวกันฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็ปรับตัว รู้ทันว่าผู้สมัครคนไหนใช้ AI เขียนประวัติย่อ และนำ AI มาใช้เขียนจดหมายสมัครงานแล้ว

พร้อมกันนี้ยังมีการแชร์เคล็ดลับการใช้ AI ช่วยทำงาน และข่าวที่ว่า AI ช่วยพัฒนาทักษะในการทำงาน เช่น ฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เผยว่า AI ทำให้พนักงานใหม่ประสบการณ์ 2 เดือนทำงานเก่งขึ้นเหมือนพนักงานที่ทำงานได้ 6 เดือน
ท่ามกลางคาดการณ์ว่าต่อไปปัญหาความเหนื่อยล้าจากงานเหล่านี้จะลดลง แต่ขณะเดียวกันก็จะทำให้พนักงานที่ทำงานเหล่านี้ต้องตกงาน เพราะ AI สามารถทำแทนได้แล้ว
ส่วนทางบริษัทก็เห็นว่าเป็นการลดรายจ่าย และไม่ต้องการรับมือกับปัญหาที่มาจากตัวพนักงาน โดยเฉพาะการอู้งานและลาป่วยลาหยุด
การเปิดรับ AI ของตลาดแรงงานยังมีอีกเรื่องให้ต้องจับตามองและบรรดามนุษย์เงินเดือนต้องสนใจ โดยบทความจาก BBC ที่อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐฯ นักวิจัยและนักจิตวิทยา ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า AI อาจกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาความล้าอุบัติใหม่

ความล้าอุบัติใหม่จาก AI ตามรายงานดังกล่าว คือ พนักงานต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามเกณฑ์วัดของบริษัทที่เพิ่มขึ้นมา เพราะแต่ละบริษัทต่างมองว่า AI เข้ามาทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ในแต่ละวันแทนคนได้แล้ว

แต่ไม่ได้ดูว่าจำนวนพนักงานลดลงไป ดังนั้น สิ่งที่ตามมาคือ พนักงานที่รอดจากการตกงานต้องทำได้หลายอย่างมากกว่าพนักงานยุคก่อน ๆ และเก่งขึ้น เพราะในอนาคตอันใกล้โจทย์งานก็ยากขึ้นกว่าเดิม จนเวลาพักของพนักงานแต่ละคนอาจน้อยลง และเสียสุขภาพ

ความล้าใหม่จาก AI ยังมาจากพนักงานต้องพัฒนาทักษะใหม่ ๆ (Upskilling) อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ AI ไล่ทันจนทำแทนได้ แต่ก็ไม่สามารถลบการมองโลกในแง่ร้ายที่ว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งโดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นคงสู้ AI ไม่ไหว ต้องถอนตัวจากงานที่ทำอยู่ เพราะทักษะที่มีอยู่กลายเป็นทักษะตกยุค ออกไปจากความคิดได้

อย่างไรก็ตาม ความล้าจากปัญญาประดิษฐ์ (AI Burnout) เป็นเพียงหนึ่งในต้นเหตุของความล้าในตลาดแรงงานในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้เท่านั้น

เพราะการต้องประชุมออนไลน์บ่อย ๆ การถูกหัวหน้าประเภท Helicopter Boss ใช้เทคโนโลยีเฝ้าติดตาม (ฺฺฺBossware) พร้อมประเมินประสิทธิภาพการทำงานเมื่อไม่ได้เข้าออฟฟิศ และการทำงานเกินเวลาก็เป็นต้นเหตุของความล้าได้เช่นกัน

ทางออกของเรื่องนี้ คือพนักงานต้องใช้ AI ให้เป็น มองเทรนด์ตลาดแรงงานตามความเป็นจริง และไม่ประมาทแต่ก็ไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป ส่วนบริษัทก็ต้องใช้ AI เท่าที่จำเป็น มีขอบเขต และมีความเห็นอกเห็นใจพนักงาน
และจะให้ดียิ่งขึ้น ถ้านำ AI มาใช้เก็บข้อมูลสุขภาพของพนักงาน เพื่อหาทางช่วยเหลือก่อนที่พนักงานจะล้าเกินไป/bbc
–
