Work/ไม่ว่ายุคไหนมนุษย์ก็ต้องพึ่งพากัน แต่ถ้าไม่เข้าใจการพึ่งพาและอยู่ร่วมกันย่อมเป็นไปอย่างยากลำบาก ความจริงข้อนี้กำลังเกิดขึ้นในโลกการทำงานปัจจุบันที่มีคนมากถึง 4 รุ่น
หลัง Babyboom, Gen X และ Gen Y ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ๆ ในองค์กรและนั่งเก้าอี้หัวหน้าทีมหรือผู้บริหารของบริษัท บ่นว่า Gen Z ซึ่งเด็กสุดในองค์กรและเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานทำงานด้วยยาก

สถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอคติต่อ Gen Z แต่มันก็สามารถลดลงได้และช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ถ้ามอง Gen Z อย่างเข้าใจ
เจองานหนักใส่เกียร์ถอย: อคติข้อแรกที่บรรดารุ่นพี่ ๆ ในทีมหรือในบริษัทมอง Gen Z อย่างเข้าใจผิด คือ เมินงานหนัก และมักไม่ทำงานของตัวเอง โดยแท้จริงแล้ว Gen Z ยินดีทุ่มกายทุ่มใจทำงาน
รวมถึงงานของทีมที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วย แต่พวกเขาจะทำก็ต่อเมื่องานเหล่านั้น สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยเปล่า

นี่เป็นผลมาจาก Gen Z ยึดคอนเซ็ปต์ Work smart better than work hard และมองว่าสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) มีความสำคัญ
คอยจะแต่ขอขึ้นเงินเดือน: อคติข้อต่อมาที่เหล่าคนรุ่นอายุมากกว่าในออฟฟิศ อย่าง Babyboom, Gen X และ Gen Y มอง Gen Z แบบผิด จนเหมือนแปะป้ายให้ Gen Z ดูแย่ คือ
คอยแต่จะขอขึ้นเงินเดือนอยู่บ่อย ๆ หรือคาดหวังว่าจะได้ประเดิมชีวิตการทำงานด้วยเงินเดือนสูง ๆ โดยหากมองให้ลึกนี่คือความกังวลเรื่องค่าครองชีพและสภาพเศรษฐกิจ

Gen Z เห็นว่าเงินเดือนเริ่มต้นแบบที่พนักงานรุ่นพี่เคยได้ คงไม่พอใช้แล้วในรุ่นตน ดังนั้น รุ่นพี่ ๆ ควรเข้าใจ Gen Z ในเรื่องนี้ด้วย ส่วนบริษัทก็ควรเสนอตัวช่วยหรือสวัสดิการเพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ
ใครเตือนเกินเบอร์ก็ไม่สนใจ: อคติอีกข้อที่ Gen Z ถูกมองอย่างเข้าใจผิด คือ เรียกร้องอยู่ตลอดและยังไม่สนใจด้วยว่ารุ่นพี่ ๆ ในองค์กรจะมองหรือเตือนอย่างไร
Gen Z มักจะถามบริษัท ทีมหรือหัวหน้าว่า สามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ได้หรือไม่ บริษัทมีสวัสดิการอะไรให้บ้าง หรือแม้กระทั่งบริษัทมีนโยบายเรื่องความเท่าเทียมและสิ่งแวดล้อมอย่างไร

จริงอยู่ที่พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ Gen Z ถูกมองว่าขอมากไป แต่ก็ต้องยุติธรรมกับ Gen Z ด้วย เพราะพวกเขาโตมาในช่วงโลกติดล็อกดาวน์ และสังคมการทำงานมีความยืดหยุ่น
ส่วนความคิดเรื่องหลากหลายและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมก็สำคัญ พวกเขาจึงกล้าที่สอบถามกับบริษัทในเรื่องเหล่านี้ และไม่คิดว่ามากเกินไป ดังนั้น รุ่นพี่ ๆ ในองค์กรต้องเข้าใจ
และอย่าทำตัวตกยุค ฉุดให้บรรยากาศการทำงานกร่อย ด้วยการไปพูดกับ Gen Z ว่า “สมัยพี่ก็ผ่านมาได้ ไม่เห็นต้องขอมากแบบเธอเลย”
อดทนน้อยพร้อมไปตลอด: ความอดทนต่อการทำงานต่ำกว่าคนรุ่นก่อนและพร้อมลาออกเสมอจนเหมือนไม่ภักดีต่อองค์กร ก็เป็นอคติอีกข้อที่ทำให้ Gen Z ถูกมองในทางลบ
Gen Z มีทัศนะต่อตัวงานและองค์กรต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ โดยพวกเขามองว่าคนเราสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ และงานที่เน้นตามเวลาสะดวกและไม่ผูกมัดหรือ Gig work เป็นเรื่องยอมรับได้
ดังนั้น พวกเขาจึงมีรายได้เข้ามาจากหลายทาง และเห็นว่าไม่ควรต้องทนกับบริษัทหรืองานที่สภาพแวดล้อมการทำงานไม่ดี
สร้างโจทย์ใหญ่เรื่องบริหารคน: อคติข้อต่อมาที่มีต่อ Gen Z คือ เป็นพนักงานที่บริหารจัดการยาก ทำให้เหล่าหัวหน้ารุ่นพี่ ๆ บ่นตามตู้กดน้ำหรือมุมกาแฟว่าทำงานกับ Gen Z แล้วลำบากใจ

เรื่องนี้เกิดจาก Gen Z มีลักษณะนิสัยชอบแสดงความคิดเห็น ชอบความโปร่งใส และใส่ใจ Work Life Balance ดังนั้น ถ้าเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็นและยืดหยุ่นก็สามารถทำงานร่วมกันได้
ไม่สนเก้าอี้ระดับบน ๆ ในสายงาน: อคติข้อสุดท้ายที่มีต่อ Gen Z คือ ไม่สนเรื่องความก้าวหน้าในสายงานและไม่อยากขึ้นเป็นผู้บริหาร โดยอคติข้อนี้มาจากมุมมองที่รุ่นพี่ ๆ ในองค์กรมีต่อ Gen Z
คนรุ่นก่อน ๆ อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการขึ้นเป็นผู้บริหาร รับได้ถ้าการทนกับเรื่องลำบากใจต่าง ๆ ระหว่างทางและมองว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการรอ แต่ Gen Z คิดต่าง

Gen Z มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ในการทำงานพร้อมให้ปิดจ็อบด้วยตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็วางตัวเองและ Work Life Balance เป็นที่ตั้ง
ถ้าไม่เป็นไปตามเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาเห็นว่าควรย้ายงาน และมันก็ไม่ได้สูญเปล่าไปเสียทีเดียวเมื่อลาออก เพราะอย่างน้อยก็ได้เรียนรู้
ดังนั้น จึงไม่ติดใจอะไร แม้ถูกมองว่ายังไม่ก้าวหน้าและถ้ารออีกหน่อยอาจได้ขึ้นเป็นผู้บริหารก็ตาม/cnbc
–
